พื้นฐานทางสิ่งแวดล้อมและ
การจัดการทรัพยากร
ควาหมายและขอบเขตของ
การศึกษาสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับ
สิ่งแวดล้อมของมนุษย์
แนวทางและหลักการพัฒนา
ทางสิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบที่สำคัญของ
การพัฒนาที่ยั่งยืน
หลักการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมกับ
คุณภาพชีวิต
 
กระบวนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
- ลำดับขั้นของกระบวนการ
การศึกษานอกสถานที่
การใช้สื่อต่าง ๆ
การจัดกิจกรรมพิเศษ
การจัดโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การสำรวจ วิเคราะห์ และทำรายงาน
ปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน
ตัวอย่างการใช้และการจัดการ
สิ่งแวดล้อมในประเทศ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับ
สิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
   
 
 
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
   
 
   
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   
 

                การพัฒนาแนวความคิดเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของมนุษย์เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเรียกว่า"โลกทรรศน์" และ "จริยธรรม" ซึ่งมีความหลากหลาย ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโลกทรรศน์ และจริยธรรมเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ที่สําคัญดังนี้
โลกทรรศน์แบบอุตสาหกรรมนิยม           
               E.F. Schumacher กล่าวว่า "ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม ไม่ได้เกิดจากความขาดแคลนข้อมูล กําลังคนหรืองบประมาณเพื่อการวิจัย ความเสื่อมโทรมนี้เกิดจากวิถีการดํารงชีวิตของโลกสมัยใหม่ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อบางอย่าง" หมายความว่า วิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมที่กําลังเกิดอยู่บนโลกของเรานั้นมีต้นกําเนิดมาจากโลกทรรศน์และจริยธรรมที่ดํารงอยู่ในระบบเศรษฐกิจ คนในสังคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีโลกทรรศน์ที่เรียกว่า "Throwaway worldview" ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อหลายประการ ซึ่งบางครั้งอาจจะดูจากพฤติกรรมคือ

                    - มนุษย์เราแยกออกจากธรรมชาติ
                    - มนุษย์เราอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
                    - บทบาทของมนุษย์เรา คือพิชิตและบังคับให้ธรรมชาติอยู่ใต้อํานาจของเรา และใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ต่อเรา
                    - ทรัพยากรมีมากมายไม่มีขีดจํากัด ทรัพยากรสามารถเพิ่มปริมาณขึ้นได้เสมอ และถ้าเกิดขาดแคลน เราก็สามารถแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ มาทดแทนได้
                    - ยิ่งบริโภคและผลิตมากขึ้นเราก็ยิ่งสบายขึ้นการครอบครองวัตถุมากขึ้นแบบไม่มีขอบเขตย่อม
เป็นไปได้เสมอเพราะเรามีความเจริญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ความเจริญเติบโตทั้งปวงเป็นสิ่งที่ดี มีความเจริญมากขึ้นยิ่งดี

                    - บุคคลที่สําคัญหรือชาติที่สําคัญ คือบุคคลหรือชาติที่สามารถควบคุมและใช้ทรัพยากรได้มากที่สุด  
                โลกทรรศน์แบบนี้ได้รับการสนับสนุนจากความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่ว่า "เรากําลังอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สําคัญที่สุดในการให้ความมั่งคั่งและอํานาจแก่เรา การครอบครองข่าวสารจะเป็นเครื่องมือหลักที่สนับสนุนให้มนุษย์สามารถครอบงําพิภพได้เบ็ดเสร็จ การใช้ประโยชน์จากธรรมชาติยิ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด
"โลกทรรศน์แบบอุตสาหกรรมนิยมนี้น่าจะ เกิดจากโลกทรรศน์หลักที่เรียกว่า Technocentrism ซึ่งตั้งอยู่บนความเชื่อว่า มนุษย์มีความสามารถสูงในการใช้เทคนิควิทยาศาสตร์ และการจัดการเพื่อแสวงหา ประโยชน์จากธรรมชาติได้อย่างไม่มีขอบเขต การมีพลังอํานาจทางเทคโนโลยีอันมหาศาลทําให้มนุษย์สามารถควบคุมจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้


จริยธรรมทางสิ่งแวดล้อมแบบใหม่
              ตราบใดที่เรามองโลกด้วยโลกทรรศน์แนว Technocentrism เราจะไม่มีวันหลุดพ้นไปจากวิกฤตการณ
์ทางสิ่งแวดล้อมได้เลยจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการมองโลกด้วยวิถีทางใหม่ที่เชื่อว่า "โลกเป็นระบบที่มีชีวิต
มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่อาจแยกจากธรรมชาติได้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็นสมาชิกของประชาคมโลกธรรมชาติซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายที่มีความเชื่อมโยงกัน" เราอาจเรียกแนวใหม่นี้ว่า "Sustainable Earth worldview" โดยในภาษาไทยใช้ศัพท์คําว่า "โลกธรรมชาติยั่งยืน" ซึ่งสามารถ สรุปสาระได้ 4 หัวข้อ คือ
                  1. เรียนรู้กฎนิเวศวิทยาอย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะเข้าใจปรากฏการณ์พื้นฐานทางธรรมชาติและให้มีพฤติกรรม
สอดคล้องกับกฎธรรมชาติอย่างกลมกลืน อันเป็นเงื่อนไขสําคัญที่สุดของการดํารงอยู่ของธรรมชาติอย่างหลากหลายและมีเสถียรภาพ กฎนิเวศวิทยาที่สําคัญมีดังนี้
                    1.1 ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เราทําไป ย่อมมีผลกระทบที่เราไม่สามารถพยากรณ์ได้ ต่อบุคคล ต่อสังคม                          และต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกธรรมชาติ
                    1.2 มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกี่ยวพันกันและอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน
                    1.3 ธรรมชาติมีลักษณะยุ่งยาก ซับซ้อนที่สุด โดยที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งและรอบด้าน
                    1.4 โลกธรรมชาติไม่ได้เป็นของมนุษย์ หากแต่มนุษย์เป็นของธรรมชาติ มนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ
                          ของสายใยแห่งชีวิต เป็นสมาชิกหนึ่งของโลกธรรมชาตินั่นเอง
                    1.5 บทบาทของมนุษย์ คือทําความเข้าใจร่วมมือทํางานกับธรรมชาติ ไม่ใช่พิชิตธรรมชาติ
                จะเห็นได้ว่า กฎนิเวศวิทยาทั้ง 5 ข้อนี้เป็นพื้นฐานของการสร้างจริยธรรมทางสิ่งแวดล้อมแบบใหม่ ซึ่งจะเป็น
เครื่องชี้นําให้เรามีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
                2. เคารพสิทธิทางธรรมชาติของสรรพสิ่งมีชีวิต โลกทรรศน์ "โลกธรรมชาติยั่งยืน" ให้ความสําคัญเรื่องสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคม นอกจากนั้นยังขยายขอบเขตของสิทธิมนุษย์ไปสู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดด้วย หลักการสําคัญเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่เหล่านี้ คือ
                    2.1 สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ หรืออย่างน้อยที่สุดมีสิทธิที่จะต่อสู้เพื่อการมีชีวิตอยู่ด้วย
                         เหตุผลง่ายๆ ที่ว่าเมื่อเกิดมาแล้วต้องดํารงอยู่ต่อไป
                    2.2 การกระทําใดๆ ก็ตาม ถ้าทําไปเพื่อรักษาเสถียรภาพ ความยั่งยืน และความหลากหลายของระบบนิเวศ
                          ถือได้ว่าเป็นสิ่งถูกต้อง แต่ถ้าทําไปเพื่อทําลายถือว่าผิด
                    2.3 มนุษย์ ทุกคนที่ เกิดมาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองในกรณี ที่ก่อให้เกิดมลพิษ และสร้าง
                         ความทรุดโทรมให้กับธรรมชาติ การนําของเสียไปทิ้งในธรรมชาตินับเป็นความผิดที่ร้ายแรง
                    2.4 เราจะต้องมอบโลกธรรมชาติ ให้เป็นสมบัติ ของคนรุ่นหลังในสภาพที่ไม่ทรุดโทรมหรือในสภาพที่ดีกว่า
                          คนรุ่นหลังในอนาคตก็มีสิทธิที่จะมีคุณภาพทางสิ่งแวดล้อมเท่าเทียมกัน
              3. รักษ์และอนุรักษ์ธรรมชาติ โลกทรรศน์แบบใหม่มีแนวคิดว่า สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไม่ใช่สิ่งของ หากแต่เป็นความรัก ความห่วงใย ความเมตตา และความสุข จึงยึดหลักที่ว่า
                    3.1 การกระทําที่ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ และการทําลายถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติเป็นสิ่งที่ผิด
                    3.2 เราจะต้องให้การคุ้มครองพื้นที่ธรรมชาติ ที่ยังเหลืออยู่ไม่ให้มีการดําเนินกิจกรรมใดๆที่ทําลายธรรมชาติ
                          และจะต้องทําการฟื้นฟูระบบธรรมชาติที่เสื่อมโทรม ธรรมชาติคือ ถิ่นฐานที่เราเคยเริ่มต้นมา
                    3.3 ในการคุ้มครองธรรมชาติ เราจะต้องดําเนินการให้ไปไกลกว่าข้อบังคับทางกฎหมาย
                    3.4 จงให้ความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมในชุมชนของเรา และดํารงชีวิต
                          อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ
                    3.5 มีความเมตตาและความรักต่อผู้ยากไร้ และสิ่งแวดล้อมของผู้ยากไร้มากที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด สันติสุข
                          และความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมไม่อาจมีขึ้นได้ ตราบใดที่มวลชนส่วนใหญ่ในสังคมยังยากไร้อยู่
                    3.6 รักและชื่นชมธรรมชาติโดยการสัมผัสโดยตรง จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุดในการสอนให้เราอนุรักษ์
                          สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ
             4. สร้างจริยธรรมทางเศรษฐศาสตร์สีเขียว มีหลักการที่สําคัญ คือ
                    4.1 ในการสนองความต้องการของมนุษย์เพื่อการดํารงอยู่ควรที่จะต้องใช้ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม
                          อย่างระมัดระวังที่สุด ไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างมากหรือรุนแรง
                    4.2 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ยั่งยืน สอดคล้องกับวิถีทางธรรมชาติ
                    4.3 ทรัพยากรมีปริมาณจํากัด จึงต้องใช้แบบประหยัดไม่ล้างผลาญหรือฟุ่มเฟือย
                    4.4 ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลกอย่างเหมาะสมพอดี
                    4.5 เป็นสิ่งที่ผิด ถ้าเรามองว่า คนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ คือปัจจัยการผลิต ซึ่งวัดค่าด้วยเงินตรา
                    4.6 ทุกสิ่งที่เรามีในระบบเศรษฐกิจมีตนกําเนิดจากโลกธรรมชาติ และแสงอาทิตย์
                        
 ถ้าโลกธรรมชาติล่มสลายเศรษฐกิจก็พังไปด้วย
                    4.7 อย่ากระทําสิ่งใดที่เป็นการทําลายดุลยภาพในโลกธรรมชาติ อันเป็นการ บั่นทอน"ทุนธรรมชาติ"                           ซึ่งเป็นพื้นฐานสนับสนุนระบบเศรษฐกิจ การขาดดุลยภาพทางธรรมชาติ คือการขาดสมดุลที่ยิ่งใหญ่
และร้ายแรงที่สุด
             Miller กล่าวว่า การที่เราจะมีโลกทรรศน์แนวโลกธรรมชาติยั่งยืนได้นั้น เราต้องผ่านการยกระดับ "ความตื่นตัวทางสิ่งแวดล้อม" (Environmental awareness) 4 ระดับด้วยกัน คือ
             ระดับ ที่1  เราเริ่มมองเห็นปรากฏการณ์และรับรู้ปัญหา เราเริ่มรู้สึกว่า กําลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ปัญหามลพิษ เราคิดแต่เพียงว่า เมื่อมีปัญหามลพิษ เราต้องเข้าไปแก้ไข โดยการควบคุมหรือแก้ไข แต่ยังมองไม่เห็นระบบ
             ระดับที่ 2  เริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ เช่นเริ่มรู้สึกว่าปัญหามลพิษ ความเสื่อมโทรมทางสิ่งแวดล้อม และการหมดสิ้นของทรัพยากรเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับปัญหาประชากร การพัฒนาอุตสาหกรรม ลัทธิการบริโภคนิยม และความยากจนในสังคม การตื่นตัวมากขึ้นในระดับนี้เรียกร้องให้เราแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเช่นกัน แต่เรายังมองไม่เห็นว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจการเมืองได้อย่างไร
             ระดับที่ 3  การตื่นตัวในระดับนี้ จะทําให้เรามองเห็นความเชื่อมโยงทางด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบมากขึ้น และมีการแสวงหาทางเลือกใหม่ ๆ ในการจัดระบบทางเศรษฐกิจสังคม เช่นมองหาแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่ ที่เรียกกันว่า "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในขณะเดียวกันก็พัฒนาวิธีการจัดการทางสิ่งแวดล้อมที่มีลักษณะสลับซับซ้อนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
             ระดับที่ 4  เป็นการตื่นตัวในระดับสูงสุด มนุษย์จะต้องนึกถึงหาก "ความอยู่รอดของธรรมชาติ" ไม่ใช่ "ความอยู่รอดของมนุษย์" จริยธรรมทางสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการเห็น การรู้สึกสัมผัส การเข้าใจ ความรักและความห่วงใย ที่สําคัญคือ เกิดความศรัธทาโลกทรรศน์ใหม่ ซึ่งเป็นวิถีการคิดและความรู้สึกแบบใหม่ อันเกิดจากการเข้าถึงธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่า วิถีชีวิตแบบใหม่จะต้องมีลักษณะเรียบง่าย ปฎิเสธบริโภคนิยม ไม่ลุ่มหลงในวัตถุ และใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย


[โลกทรรศน์แบบอุตสาหกรรมนิยม]  [จริยธรรมสิ่งแวดล้อมแบบใหม่]