เรียนลัด การจัดการเชิงกลยุทธ์ Part 1

สำหรับบทความนี้จะเป็น สรุปเนื้อหาอย่างย่อของวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 4 Part ด้วยกัน โดยแต่ละ Part ก็คือแต่ละขั้นตอนของการจัดการเชิงกลยุทธ์ซึ่งมีทั้งหมด 4 ขั้นตอนในการจัดการเชิงกลยุทธ์ หากเนื้ออาจขาดตกบกพร่องในส่วนไหน ขอผมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากเนื้อหามีประโยชน์กับผู้อ่าน ผมขอยกคุณความดีให้กับท่าน รศ.ดร.นภาพร รศ.ดร.จุฑา รศ.เริงรัก พี่เอ อรรณพ และคณาจารย์ทุก ๆ ท่านที่ได้สั่งสอนผมให้มีความรู้ และพอที่จะนำมาถ่ายทอดให้กับคนอื่นๆได้ ขออย่างเดียวนะครับ เนื้อหาในนี้ไม่เหมาะแก่การนำไปอ้างอิงทางวิชาการ หรือทำรายงาน เพราะเป็นการสรุปแบบย่อๆ สุดท้ายอ่านแล้ว สงสัย หรือจะติชม สามารถ comment หรืออีเมล์มาหาผมได้ที่นี่นะครับ อีเมล์ เข้าเนื้อหากันเลยนะครับ

การจัดการเชิงกลยุทธ์

การจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 4 ขั้นตอน
1. การกำหนดทิศทางขององค์กร (Direction Setting)
2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Environmental Scanning)
3. การกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Formulation)
4. การนำไปใช้และการควบคุม (Implementation and Control)

จากภาพเป็นองค์กรที่มีการดำเนินการแล้ว หรือองค์กรที่มีเคยใช้การจัดการกลยุทธ์อยู่แล้วจะต้องดำเนินการทั้งหมด 4 ขั้นตอน แต่ถ้าหากเป็นองค์กรใหม่ เนื่องจากยังไม่เคยกำหนดกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ฯลฯ และยังไม่เคยมีผลประกอบการสามารถเริ่มได้ที่ ขั้นตอนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (Environmental Scanning) เลยดั้งนั้นจะเหลือขั้นตอนเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น

ข้อสังเกตุ หลังจากมีการนำกลยุทธ์ไปใช้และควบคุมแล้ว ต้องนำผลที่ได้จากการนำไปใช้และการควบคุมมาปรับปรุงทุกกระบวน ใหม่ โดยพิจารณาว่า ขั้นตอนใดที่มีปัญหา ก็ต้องปรับปรับที่ขั้นตอนนั้น และต้องปรับปรุงขั้นตอนถัดไปด้วย

1. การกำหนดทิศทางขององค์กร (Direction Setting)

การกำหนด Mission Vision ทบทวนกลยุทธ์ในอดีต พิจารณาจาก Who we are (เราคือใคร บ.เราเป็นใคร มีผู้ถือหุ้นเท่าไร) What we do (เราจะทำอะไร) Where we are going (เราจะไปในทิศทางไหน)
– กำหนดเป้าหมาย
– ทบทวนกลยุทธ์ เคยใช้อะไรมาบ้าง ดีหรือไม่ แก้ไขอย่างไร

ให้ดูจาก Financial Ratio
– ROI Return on Investment ผลตอบแทนจากการลงทุน
– ROE Return on Equity ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
– ฯลฯ
ถ้า ROI ROE “สูง” แสดงว่า บริษัทมีกำไรมาก อาจใช้กลยุทธ์เดิมต่อได้
ถ้า ROI ROE “ต่ำ” แสดงว่า บริษัทมีกำไรน้อย ขาดทุน ควรปรับกลยุทธ์

กลยุทธ์มี ระดับ
ระดับที่ กลยุทธ์ระดับองค์กร (Corporate Strategies) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บอกทิศทางขององค์กร มี 3 ลักษณะได้แก่

– Growth กลยุทธ์เจริญเติบโต เช่น การขยายสาขา ขยายแผนก
– Stability กลยุทธ์คงที่ (อยู่นิ่งๆ)
– Retrenchment กลยุทธ์ถดถอย เช่น การยุบรวม ลดขนาดองค์การ ขาย หรือเลิกกิจการ

กลยุทธ์ระดับองค์กร มีเพียง 1 ลักษณะในเวลาเดียว สังเกตได้จาก Financial Ration ถ้า ROE ROI สูงจะใช้ Growth แต่ถ้ากรณีศึกษาเป็นสหกรณ์ควรใช้ Stability
การทบทวนกลยุทธ์ในอดีตควรดูจากกรณีศึกษา ควรทำ Financial Ratio มาดูเพื่อทบทวนกลยุทธ์ก่อน
คณะกรรมการบริหาร หรือ Board of Director (BOD) เป็นคนกำหนดกลยุทธ์นี้
หากจะเขียน Growth ควรเขียน Growth แบบไหน อย่างไร

ระดับที่ กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Strategies) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้บอกความสามารถในการแข่งขัน มี 2 กลยุทธ์หลักตาม Michel e. Porter คือ

– กลยุทธ์ผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership) กำหนดให้มีการจัดการที่ใช้ต้นทุนต่ำ กำไรจะมากขึ้นในราคาที่เท่ากับคู่แข่ง เน้นที่การผลิต เช่น จีน Toyota
– กลยุทธ์ด้านความแตกต่าง (Differentiation) การทำให้สินค้า ภาพลักษณ์ ทุกอย่าง หรือที่ไม่แตกต่าง แต่ถูกทำให้แตกต่าง แตกต่างด้านไหนก็ได้ เน้นการตลาด เช่น Honda Apple

ทั้ง 2 กลยุทธ์ สามารถใช้ร่วมกันได้ ในระยะสั้น จนเมื่อผ่านไปสักระยะ จะเหลือแค่กลยุทธ์เดียวปัจจุบันใช้ร่วมกันได้ โดยเป็นสินค้า Mass Customization
ถ้ากลยุทธ์เหมือนกับบริษัทคู่แข่งถือว่าไม่ใช่กลยุทธ์
หน่วยธุรกิจย่อย (Sub Business Unit : SBU) กลยุทธ์ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุก SBU

นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ อีกเช่น

– กลยุทธ์เฉพาะส่วน (Focus) ใช้กับธุรกิจประเภท SME (ต่ำกว่า 50 ล้านบาท) รายเล็ก ๆ มีกลยุทธ์ 2 กลยุทธ์ คือ Cost Leadership และ Differentiation โดยแบ่งตามการผลิตสินค้า 2 แบบคือ
– การผลิตแบบ Standardization คือ การผลิตเหมือนกัน ทีละมาก ๆ เยอะ ๆ (Made to stock) ใช้กับกลยุทธ์ Cost Leadership
– การผลิตแบบ Customization คือ การผลิตเฉพาะตามคำสั่ง (Made to Order) ใช้กับกลยุทธ์ Differentiation

ข้อแนะนำในการทำข้อสอบ ให้ดูสินค้า เพื่อกำหนดกลยุทธ์ เช่น ขนมไทยไฮโซ กลยุทธ์ Focus แบบ Differentiation

ตัวอย่างข้อสอบ ให้กำหนดสินค้าตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทย วิสัยทัศน์ประเทศไทย Manufacturing กำหนดสินค้าเป็นอุตสาหกรรม
– กลยุทธ์การตอบสนองอย่างรวดเร็ว (Quick Response) เหมาะกับงานราชการ หรืองานบริการ (Service) เป็นตัวเสริม Cost Leadership หรือ Differentiation ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้

ระดับที่ กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional Strategies) หรือ หน้าที่ทางธุรกิจ (Business Function) เช่น

  • การจัดการการดำเนินงาน (Operation Management)
  • การจัดการการผลิต (Production Management)
  • การตลาด (Marketing Management)
  • การจัดการทางการเงิน (Financial Management เช่น WACC)
  • การจัดการ (Management) + การจัดการทรัพยากรมนุษย์ Human Resource Management
  • การวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R & D)
  • ฯลฯ

บรรษัทภิบาล (Corporate Governance ) ประกอบด้วยกลุ่มบุคคล 3 กลุ่มได้แก่

  • ผู้ถือหุ้น (Stock Holder) มีหน้าที่ในการเลือกคณะกรรมการบริหาร (BOD) เข้ามาทำหน้าที่ในการบริหารแทนตนเอง เนื่องจากมีจำนวนผู้ถือหุ้นมาก จึงต้องมีตัวแทนเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการบริหาร ตัวอย่างเช่น ประชาชน
  • คณะกรรมการบริหาร (Board of Director : BOD) มีหน้าที่ในการ กำหนดกกำหนดยุทธ์ระดับองค์การ เพื่อบอกทิศทาง มีหน้าที่จัดสรรทรัพยากร และว่าจ้างผู้บริหารระดับสูง (Top manager) ตัวอย่างเช่น สส. ในสภา มีหลายลักษณะ……….
  • ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager) ได้แก่ CEO CFO COO CIO มีหน้าทีในการกำหนด Business Strategies ทำ หน้าที่ทางการจัดการ (Management Function : POLC) ตัวอย่างเช่น นายกฯ รองนายก รัฐมนตรีว่าการฯ

———– จบขั้นที่ 1 ———-